มาทำความรู้จักน้ำยา R22 R410a R32
ข้อดี - ข้อเสีย ของสารทำความเย็นแต่ละประเภท
สารทำความเย็น หรือ เรียกอีกอย่างว่า “น้ำยาแอร์" เป็นสารเคมีที่อยู่ในแอร์ ซึ่งมีไว้ใช้สร้างความเย็นให้กับแอร์ โดยน้ำยาแอร์ปัจจุบันที่ใช้กันอยู่ในประเทศไทยจะมีอยู่ 3 ประเภทหลักๆ ได้แก่ R22, R410A และ R32
ซึ่งน้ำยาแอร์แต่ละชนิดนั้นก็มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป โดยการเลือกใช้จะต้องคำนึงถึงค่า ODP (ดัชนีวัดการทำลายโอโซน), GWP (ดัชนีชี้วัดผลกระทบภาวะโลกร้อน), Cooling Capacity (ประสิทธิภาพการทำความเย็น) โดยแต่ละค่ามีผลต่อการทำความเย็นและสภาพแวดล้อมทั้งหมด
ข้อดีของสารทำความเย็น R22
- สาร R22 ไม่มีสีและไม่มีกลิ่น จึงไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายมนุษย์
- สาร R22 ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม A1 คือ เป็นสารที่ไม่ติดไฟ จึงมีความปลอดภัยในการใช้งาน
ข้อเสียของสารทำความเย็น R22
- สาร R22 มีค่า ODP สูง ซึ่งส่งผลต่อการทำลายชั้นโอโซนสูง
- สาร R22 มีค่าที่ก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจก
- สาร R22 หากรั่วออกมาสู่อากาศจำนวนมากจะส่งผลอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ
ข้อดีของสารทำความเย็น R410A
- เป็นสารทำความเย็นที่ไม่ติดไฟ
- สาร R410A มีค่า ODP ไม่ทำลายโอโซนในชั้นบรรยากาศ
ข้อเสียของสารทำความเย็น R410A
- มีค่า GWP สูง ซึ่งเป็นตัวทำลายชั้นโอโซนและการทำให้เกิดภาวะเรือนกระจก
- กรณีที่น้ำยาเกิดรั่วในระบบเครื่องปรับอากาศ R-410A ต้องถ่ายทิ้งให้เป็นศูนย์ แล้วจึงเติมเข้าไปใหม่อีกรอบ ไม่สามารถเติมเพิ่มจากเดิมเข้าไปได้
ข้อดีของสารทำความเย็น R32
- สาร R32 ใช้สารทำความเย็นน้อยกว่าสารรุ่นเดียวกัน
- จุดเดือดของน้ำยา R32 มีค่าต่ำ ทำให้คอมเพลสเซอร์ทำงานเบาสุด ส่งผลให้มีประสิทธิภาพในการทำความเย็นดีและเร็วกว่า R22 และ R410A
- ประหยัดพลังงานมากที่สุด
- ราคาถูก และมีค่า GWP ที่ต่ำกว่าสาร R410A
ข้อเสียของสารทำความเย็น R32
- สาร R32 จัดอยู่ในกลุ่ม A2 ซึ่งมีคุณสมบัติติดไฟได้เล็กน้อย ต่างจากสารชนิดอื่นที่อยู่ในกลุ่ม A1 แต่การที่สาร R32 จะติดไฟได้นั้น ต้องอาศัยความเข้มข้นของน้ำยาพอสมควร หากน้ำยามีความเข้มข้นน้อยก็จะติดไฟได้น้อย หากเข้มข้นมากก็จะติดไฟได้มาก จึงให้นำมาใช้ในแอร์ขนาดเล็กที่ต่ำกว่า 24000 บีทียู
ในปัจจุบันรัฐบาลรณรงค์ให้หันมาใช้ น้ำยาแอร์ชนิด R32 มากขึ้น และเลิกใช้น้ำยา R22 ในอนาคต ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของกรมโรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องการให้ยกเลิกการใช้สาร R22 อีกทั้งสารทำความเย็น R32 ยังส่งผลกระทบต่อภาวะโลกร้อนน้อยกว่าสารทำความเย็นในปัจจุบัน อย่างสาร R410A ถึง 3 เท่า และยังมีประสิทธิภาพทำความเย็นมากกว่า R22 ถึง 60% แต่สำหรับแอร์ที่ยังใช้น้ำยา R22 อยู่ ก็ยังสามารถใช้ได้เหมือนเดิม
ที่มา CR สมาคมผู้ค้าเครื่องปรับอากาศไทย